แหล่งที่มาของปัญหาในการวิจัยธุรกิจ
แหล่งที่มาของปัญหาการวิจัยธุรกิจ
คือ แหล่งที่จะทำให้นักวิจัยสามารถกำหนดปัญหาของการวิจัยทางธุรกิจได้ การกำหนดหัวข้อของปัญหาในการวิจัยธุรกิจ
อาจมาจากหลายๆ แหล่ง ได้แก่
1. การค้นคว้าเอกสารและผลงานวิจัยของผู้อื่น การค้นคว้าเอกสารต่างๆ
เริ่มตั้งแต่บทความ รายงานผลการวิจัย สรุปผลการวิจัย บทคัดย่องานวิจัย รายงานการประชุมทางวิชาการ เอกสารตำรา
ซึ่งอาจอยู่ในลักษณะเป็นรูปเล่มในห้องสมุดหรืออยู่ในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
การอ่านเอกสารและผลงานวิจัยของผู้อื่นจะทำให้เกิดแนวความคิดหรือความสนใจต้องการที่จะทำวิจัยประเด็นทางธุรกิจใหม่ๆ
ขึ้นมา ทำให้ได้หัวข้อการวิจัยได้
2. จากประสบการณ์ของผู้วิจัยเอง การที่ผู้วิจัยมีประสบการณ์ด้านต่างๆ
โดยเฉพาะประสบการณ์ในการทำงานในหน้าที่หรือในธุรกิจ อาจเกิดปัญหาและแก้ไขไม่ได้ ทำให้เกิดแนวคิดในการแก้ปัญหา
เช่น ธุกิจจำหน่ายสินค้าของที่ละรึกและของฝากแก่นักท่องเที่ยวปกติมีผู้มาใช้บริการซื้อสินค้าตลอด
ทำไมนักท่องเที่ยวลดลงยอดจำหน่ายลดลง อาจทำให้เกิดแนวคิดในการสร้างแบบแบบประเมินความพึงพอใจเพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์
หาทางปรับปรุงแก้ไขและนำไปใช้ในโอกาสต่อไปได้
3. จากข้อเสนอแนะจากงานวิจัย งานวิจัยทางธุรกิจในตอนท้ายๆ ของงานวิจัยแต่ละเรื่อง
จะมีข้อเสนอแนวในการวิจัยครั้งต่อไปว่าควรจะศึกษาเรื่องอะไรเพิ่มเติม ทำให้เป็นช่องทางในการได้หัวข้อของปัญหาในการวิจัยได้
4. จากผู้ทรงคุณวุฒิ หรือผู้เชี่ยวชาญ (Expert) จะเป็นผู้ที่คลุกคลีในแวดวงวิชาการในสาขาของตนมานานทำให้ทราบจุดเด่น
จุดอ่อนของศาสตร์ที่ตนเกี่ยวข้อง
หากได้ร่วมรับฟังการบรรยาย
พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลเหล่านั้น
จะทำให้ผู้วิจัยได้รับช่องทางในการวิจัยเพิ่มขึ้น
5. จากแหล่งทุนอุดหนุนการวิจัย โดยปกติแหล่งทุนที่สนับสนุนการวิจัยจะกำหนดหัวข้อมาให้ ซึ่งการกำหนดอาจเป็นการกำหนดอย่างกว้างๆ หรือกำหนดแบบเฉพาะเจาะจง ผู้วิจัยจะต้องพิจารณาเรื่องที่กำหนดมาว่าอยู่ในความสนใจหรือไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นมากน้อยเพียงใด เพื่อตัดสินใจทำวิจัย
6. จากแหล่งอื่นๆ เช่น
จากการศึกษาดูงานธุรกิจที่มีลักษณะเดียวกันของผู้อื่นอาจทำให้เกิดแนวคิดการปรับปรุงธุรกิจของตนเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
เป็นต้น
การเลือกปัญหาในการวิจัยธุรกิจ
ขั้นตอนแรกของการวิจัย คือ
การเลือกหัวข้อสำหรับการวิจัยว่าจะทำเรื่องอะไร
ต่อมา คือ กำหนดประเด็นปัญหาการวิจัย
การเลือกเรื่องที่จะทำวิจัยนั้นเป็นหัวใจของการวิจัย
เพราะนอกจากหัวข้อที่จะทำวิจัยเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของตนแล้ว จะต้องมีองค์ประกอบอื่นอีกหลายประการ เช่น
คณะกรรมการพิจารณางานวิจัย
ว่าเห็นความสำคัญของการวิจัยนั้นหรือไม่
ปัญหาเป็นอย่างไร
ทำแล้วได้ประโยชน์อะไร เป็นต้น
เมื่อเลือกเรื่องได้แล้วต้องพิจารณาองค์ประกอบหลายประการ อาทิ เวลาที่ใช้ในการวิจัย ความยากง่าย
เหมาะสมกับความรู้ และสามารถทำได้สำเร็จ งบประมาณมีมากน้อย ความกว้างลึกของงานวิจัย ดังนั้น การพิจารณาเลือกปัญหาในการวิจัยธุรกิจจึงควรคำนึกถึงสิ่งต่างๆ
ดังนี้
1. ความสนใจของผู้วิจัย
การตัดสินใจเลือกปัญหาในการวิจัยต้องพิจารณาความสนใจของตนอย่างแท้จริง หากเป็นปัญหาที่ผู้อื่นกำหนดให้
ผู้วิจัยต้องสร้างเจตคติที่ดีต่อหัวข้อนั้นๆ ก่อน นอกจากผู้วิจัยสนใจเรื่องนั้นจริงๆ
แล้ว
ต้องพิจารณาให้รอบคอบเกี่ยวกับประโยชน์ของงานวิจัย
ความทันสมัยและอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้คนสนใจ มีเอกสารหรือผลงานวิจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องพอสมควร
ต้องทราบถึงตัวแปรที่ศึกษา ไม่มีผู้ใดทำมาก่อน
ไม่กว้างหรือแคบเกินไป
แสดงให้เห็นความคิดริเริ่มใหม่ๆ
2. ความสามารถของผู้วิจัย
การเลือกปัญหาการวิจัยจะต้องพิจารณาความสามารถของผู้วิจัยในด้านต่างๆ
อย่างเที่ยงธรรม กล่าวคือ
ผู้วิจัยมีความรู้ความสามารถที่จะดำเนินงานได้ทุกขั้นตอนหรือไม่
มีความรู้ความสามารถด้านการวิจัยอยู่ในระดับใด เข้าใจวิธีการวิจัยและรูปแบบ การวิจัยเพียงใด มีความรู้เกี่ยวกับสถิติ
สามารถใช้สถิติได้อย่างเหมาะสม
มีความรู้ความสามารถในการเก็บรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล
ตลอดจนการเขียนรายงานการวิจัย ถ้าพิจารณาความสามารถของตนอยู่ในเกณฑ์ใด เพื่อเทียบกับเรื่องที่เลือก
หากไม่แน่ใจอาจร่วมมือกับบุคคลอื่นที่มีความรู้ความสามารถในการวิจัย หรือ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
หรือผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อให้ได้งานวิจัยที่มีคุณภาพ
3.
สาระและความสำคัญของปัญหาการวิจัย
ผู้วิจัยต้องแน่ใจว่า เรื่องที่ทำวิจัยนั้น
เป็นปัญหาที่มีสาระสำคัญในปัจจุบัน
กล่าวคือ ผลการวิจัยมีคุณค่าหรือประโยชน์ต่อสังคมต่อหน่วยงาน
หรือสร้างคุณค่าในเชิงวิชาการหรือไม่เพียงใด ผลการวิจัยจะสามารถลดความเสี่ยงในการตัดสินใจทางธุรกิจได้หรือไม่
4. ความทันสมัยและน่าสนใจ
หัวข้อการวิจัยที่ดีควรเป็นหัวข้อที่กำลังได้รับความสนใจจากหน่วยงานหรือจากบุคคลทั่วไป เช่น หัวข้อที่กำลังจะทำนั้น
คำตอบที่ได้สามารถนำไปแก้ปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น ตัวอย่าง
ระบบบริหารโลจิสติกส์ของไทยภายหลังวิกฤตอุทกภัย หรือการออกแบบระบบการบริหารจัดการน้ำของหน่วยงานภาครัฐเพื่อป้องกันการเกิดอุทกภัย
เป็นต้น การพิจารณาว่าเรื่องใดอยู่ในความสนใจหรือไม่ ผู้วิจัยต้องอ่านต้องค้นคว้า
รับฟังข่าวสาร
ทันโลกทันเหตุการณ์อยู่เสมอจึงจะหาหัวข้อวิจัยที่ทันสมัยและน่าสนใจได้
5.
ความสามารถในการดำเนินงานให้เสร็จสมบูรณ์ตามเวลาที่กำหนด
การวิจัยทุกเรื่องต้องอาศัยงบประมาณและกำหนดเวลาในการดำเนินงาน ดังนั้น ผู้วิจัยจึงต้องคำนึงถึงเวลาที่ใช้ในการวิจัย และงบประมาณที่กำหนดไว้ให้สอดคล้องกัน
เพราะถ้ายืดเวลาออกไปงบประมาณก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วย ผู้วิจัยจึงต้องใช้ความสามารถในการดำเนินงานให้ทันตามกำหนด
บางครั้งข้อมูลที่ล่าช้าอาจทำให้ล้าสมัยขาดความเชื่อถือได้ไม่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาทางธุรกิจได้
ข้อผิดพลาดในการเลือกปัญหาการวิจัย
1.
ขาดการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องที่ตนสนใจจากเอกสารและสื่อชนิดอื่นๆ
ทำให้ขาด
ความรู้ทั้งในด้านระเบียบวิธีวิจัยและความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่วิจัย
การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอจะเป็นแนวทางในการวิจัยได้ชัดเจน
2. มีเวลาจำกัด การวิจัยมักจะถูกกำหนดด้วยกรอบเวลาที่จำกัด
เช่น การวิจัยที่เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาจะต้อดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด
อาจส่งหัวข้อไปโดยไม่ใช่เรื่องที่ตนเองถนัด
หรืออาจจะต้องเร่งรีบดำเนินการโดยละเลยการศึกษาทฤษฎีที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดรอบคอบ
ทำให้การวิจัยนั้นไม่ตอบปัญหาอย่างชัดเจน
3. กำหนดปัญหาไว้กว้างเกินไป ทำให้ไม่สอดคล้องกับเวลาและงบประมาณ
4. การเลือกปัญหาโดยขาดการวางแผนอย่างรอบคอบ
จะส่งผลถึงการดำเนินการวิจัยที่
ไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากการวิจัยจะต้องมีการวางแผนการดำเนินการเป็นขั้นตอนอย่างรอบคอบ
5. ไม่สามารถหาข้อมูลมาทดสอบได้
เนื่องจากกำหนดปัญหาไว้ไม่ชัดเจน ไม่ทราบว่า
เป็นปัญหาของใคร ปัญหาเกี่ยวกับอะไร เกิดขึ้นที่ไหน เก็บข้อมูลอย่างไร
เก็บกับใคร เก็บข้อมูลเกี่ยวกับอะไร ถ้าไม่ทราบจะไม่สามารถหาข้อมูลมาทดสอบได้
การกำหนดประเด็นปัญหาในการวิจัยธุรกิจ
การกำหนดปัญหาในการวิจัย คือ
การค้นหาปัญหาหรือประเด็นปัญหา ที่ต้องการทำต่อไป โดยการวิเคราะห์สภาพต่างๆ ของปัญหาแล้วสังเคราะห์เพื่อให้ได้ประเด็นของปัญหาอันจะนำไปสู่การกำหนดหัวข้อวิจัยหรือหัวเรื่องต่อไป การวิจัยที่ดีจะต้องเริ่มต้นด้วยปัญหาหรือ
คำถามเสมอ เพราะการวางแผนในแต่ละขั้นตอนขึ้นอยู่กับคำถามในการวิจัย
คำถามวิจัยที่ดีควรกำหนดและให้นิยามปัญหาอย่างชัดเจน การนิยามปัญหา
หมายถึง
การอธิบายปัญหาที่จะทำการวิจัยให้ชัดเจน
โดยเริ่มจากการตั้งชื่อเรื่อง และองค์ประกอบอื่นๆ
ที่จะช่วยให้เข้าใจปัญหาการวิจัยนั้นชัดเจนยิ่งขึ้นเพราะปัญหาที่ได้นิยามไว้อย่างดีจะช่วยนำไปสู่การกำหนดวัตถุประสงค์
สมมติฐาน นิยามของตัวแปรที่สำคัญๆ
และการเลือกที่จะวัดตัวแปรเหล่านี้ด้วย
ดังนั้น การกำหนดปัญหาวิจัยที่ดี
และน่าสนใจจึงเป็นส่วนสำคัญ ให้เกิดงานวิจัยที่มีคุณภาพดี
คำถามในการวิจัยประกอบด้วย คำถามหลัก (Primary research question) เพียงคำถามเดียวเป็นคำถามที่ผู้วิจัยสนใจมากที่สุด
ซึ่งต้องตั้งอย่างระมัดระวังเพราะการกำหนดขนาดตัวอย่าง จะขึ้นอยู่กับคำถามหลัก
นอกจากนี้จะต้องมีคำถามรอง (Secondary research questions) อีกจำนวนหนึ่ง
ซึ่งก็คือการกำหนดกรอบของการวิจัยนั้นเอง
หลังจากนี้จะเป็นความเป็นมาของปัญหาหรือภูมิหลังของการวิจัย ซึ่งต้องเขียนให้ตรงประเด็น
มีข้อมูลอ้างอิงที่เชื่อถือได้
การเขียนภูมิหลังของการวิจัยจะต้องเขียนจากวงกว้างไปสู่ปัญหาในวงแคบ
การเขียนภูมิหลัง จึงเป็นการอธิบายที่มาของการวิจัยนั่นเอง
ตัวอย่าง : การกำหนดประเด็นปัญหาในการวิจัย
ปัญหา
คือ ผลิตภัณฑ์ A มียอดจำหน่ายลดลง
คำถามหลัก
คือ มีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อยอดการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ A
คำถามรอง
คือ
1. ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ A อย่างไร
2. ความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์
A เป็นอย่างไร
3. มีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์
A
แนวทางการตั้งชื่อเรื่องการวิจัย
การตั้งชื่อเรื่องที่จะวิจัยจะต้องตรงกับปัญหาที่ศึกษา มีความเฉพาะเจาะจงใช้ภาษา กะทัดรัด ชัดเจน
ไม่ซ้ำซ้อนกับเรื่องอื่นๆ ที่มีผู้วิจัยมาแล้ว
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ ได้กำหนดแนวทางการตั้งชื่อโครงการวิจัยไว้
ดังนี้
1. เป็นชื่อเรื่องที่กะทัดรัดชัดเจนเข้าใจง่าย
ครอบคลุมเนื้อหาสาระที่ทำการวิจัย
2. ให้ความหมายในการจูงใจ น่าสนใจ
และตรงกับเนื้อเรื่องมากที่สุด
3.
สามารถให้ผู้อ่านมาค้นเรื่องราวที่จะทำการวิจัยได้อย่างใกล้เคียง
การตั้งชื่อเรื่องการวิจัยอาจทำได้โดยนำสิ่งต่างๆ
เหล่านี้มาเป็นส่วนหนึ่งของชื่อเรื่องการ
วิจัย (เพ็ญแข แสงแก้ว. 2541)
1.
ตัวแปรสำคัญที่ใช้ในการวิจัย
เราอาจนำเอาประเด็นสำคัญซึ่งเป็นตัวแปรอิสระ และตัวแปรตามมาเป็นส่วนประกอบของชื่อโครงการ เช่น “การพัฒนาศักยภาพของธุรกิจชุมชน”
ตัวแปรอิสระ
คือ ธุรกิจชุมชน
ตัวแปรตาม คือ การพัฒนาศักยภาพ
2. ขอบเขตของการศึกษา
ถ้าต้องการระบุขอบเขตของการศึกษาให้ชัดเจนลงไปว่าต้องการศึกษาเฉพาะประชากรกลุ่มใด เพื่อให้หัวข้อวิจัยมีความชัดเจนยิ่งขึ้น
ก็อาจนำประชากรเป้าหมายมาเป็นส่วนประกอบของชื่อเรื่องได้ ได้ เช่น “การพัฒนาศักยภาพของธุรกิจชุมชนในจังหวัดอุดรธานี” ประชากรเป้าหมาย
คือ ธุรกิจชุมชนของจังหวัดอุดรธานี
3. ลักษณะที่มาของข้อมูล
บางครั้งผู้วิจัยอาจต้องการให้ผู้อ่านทราบชัดเจนว่า การวิจัยของเรามีที่มาอย่างไร หรือใช้วิธีเก็บข้อมูลแบบใด เช่น “การวิจัยเชิงทดลองเกี่ยวกับการสร้างจิตสำนึก
ในการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน”
ผู้อ่านทราบได้ทันทีว่าการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง
4. สาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
บางครั้งผู้วิจัยอาจระบุให้ชัดเจนว่าเป็นการวิจัยสาขาใด เนื่องจากอาจมีโครงการที่มีชื่อเหมือนกัน แต่มีประเด็นและวิธีการศึกษาต่างกัน
ขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้วิจัย
จะเห็นว่าการตั้งชื่อมีความสำคัญกับการวิจัยไม่น้อย
เนื่องจากชื่อเรื่องการวิจัยเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นผลงานวิจัยในหลายๆ ประเด็น เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับขอบเขตของการวิจัย ตัวแปรที่ศึกษา วิธีการศึกษา
การเก็บรวบรวมข้อมูล
และสาขาวิชาที่ศึกษา
ดังนั้นควรให้ความสนใจและพิจารณาตั้งชื่ออย่างรอบคอบและควรคำนึกถึงหลักการตั้งชื่อในกรณีต่างๆ
ประกอบด้วย เช่น ไม่ควรมีสัญลักษณ์ตัวย่อ ไม่ตั้งชื่อโครงการวิจัยเป็นประโยคคำถาม ไม่ตั้งชื่อเรื่องการวิจัยโดยใช้คำยาก คำกำกวม หลีกเลี่ยงคำทับศัพท์ ภาษาพื้นบ้านหรือภาษาถิ่น และที่สำคัญ สั้นกะทัดรัด ชัดเจน
สื่อความหมายได้ตรงประเด็น ดังนั้นการตั้งชื่อเรื่องการวิจัยจะต้อง
1.
สื่อความหมายว่า ใคร? ทำอะไร? ที่ใด?
2.
เขียนเป็นประโยคบอกเล่าให้กระชับ
3.
แสดงความเป็นกลาง
4.
เน้นปรากฏการณ์ที่ศึกษาเป็นสำคัญ
กระบวนการวิจัย
การวิจัยเป็นกิจกรรมค้นหาความรู้ความจริงอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ภายใต้แนวคิดและทฤษฎีต่างๆ ที่ผู้วิจัยใช้เป็นหลักในการดำเนินการวิจัย
ซึ่งกิจกรรมต่างๆ ของกระบวนการวิจัยจะเชื่อมโยงกันเป็นลำดับ ดังแผนภูมิ
แผนภูมิแสดงขั้นตอนการวิจัยธุรกิจ
ขั้นที่ 1
การกำหนดประเด็นปัญหาของการวิจัย (Problem) กำหนดจากแนวคิดทฤษฎี
การสรุปอ้างอิงจากงานวิจัยหรือจากประสบการณ์ของผู้วิจัย และจากแหล่งทุน
ซึ่งการเลือกหัวข้อปัญหาที่จะทำการวิจัย เป็นขั้นตอนแรกที่ผู้วิจัยจะต้องตกลงใจว่าจะวิจัยเรื่องอะไร
การเลือกหัวข้อปัญหาต้องทำด้วยความรอบคอบและเชื่อมั่นพร้อมทั้งเขียนชื่อเรื่องที่จะวิจัยออกมาให้ได้
ขั้นที่ 2 การกำหนดวัตถุประสงค์ในการวิจัย
เป็นการกำหนดประเด็นปัญหาที่วิจัยว่าจะศึกษาอะไร มีขอบเขตครอบคลุมเรื่องใด
ปัญหาที่สนใจและต้องการคำตอบคืออะไร
และทำการแยกแยะแจกแจงรายละเอียดของหัวข้อหรือประเด็นที่จะศึกษาออกเป็นข้อๆ
การเขียนวัตถุประสงค์การวิจัยจะช่วยทำให้ผู้วิจัยพบความชัดเจน
เกี่ยวกับประเด็นที่ตนกำลังศึกษา จากวัตถุประสงค์ จะทำให้ ผู้วิจัยทราบว่า การวิจัยนี้ต้องการใช้ข้อมูลอะไรบ้าง
และการวิเคราะห์ปัญหาผู้วิจัยมาจากการวิเคราะห์หาคำตอบตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ได้หรือไม่
ขั้นที่ 3 การทบทวนวรรณกรรมและสร้างกรอบแนวความคิดหรือตั้งสมมุติฐานการวิจัย การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
เป็นการทบทวนวรรณกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่วิจัย
จะช่วยให้ผู้วิจัยทราบว่ามีผู้ใดเคยทำการวิจัยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยที่กำลังจะทำอยู่บ้าง
ทำให้ทราบแนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังวิจัยเพื่อใช้เป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย
และตั้งสมมติฐานการวิจัยต่อไป นอกจากนี้ ยังทำให้ทราบถึงวิธีวิจัยของผู้อื่น
ทราบวิธีการแปลผลตลอดจนปัญหาและข้อเสนอแนะต่างๆ ในการวิจัย
การสร้างกรอบแนวคิด (Conceptual
Framework) หมายถึง แนวคิดของผู้วิจัยเกี่ยวกับตัวแปรต่างๆ
และความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรเหล่านั้น ในการวิจัยเชิงอธิบาย (Explanatory
Research) แต่ถ้าเป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) กรอบแนวคิดจะหมายถึง แนวคิดของผู้วิจัยเกี่ยวกับตัวแปรหรือคุณลักษณะต่างๆ
ที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา กรอบแนวความคิดที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรมต่างๆ
จะทำให้ผู้วิจัยสามารถสร้างกรอบแนวความคิดหรือตั้งสมมุติฐาน (Hypothesis) เป็นการคาดเดาคำตอบไว้ล่วงหน้า
เพื่อบอกทิศทางการวิจัยว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
ช่วยให้ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลได้ตรงเป้าหมายและสะดวกยิ่งขึ้น
ขั้นที่ 4 การออกแบบการวิจัย (Research Design) คือ การวางโครงสร้างและแนวทางในการดำเนินการวิจัยเพื่อให้ตอบปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น วางแผนการสุ่มตัวอย่าง การเก็บรวบรวมข้อมูล
การดำเนินกรรมวิธีทางข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล
ฉะนั้นการออกแบบการวิจัยจึงมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกับการวางแผนการวิจัยซึ่งหมายถึงการออกแบบการวิจัยเป็นการวางกรอบการวิจัย
ส่วนการวางแผนการวิจัยเป็นการวางรายละเอียดภายใต้กรอบการวิจัยขั้นตอนนี้อาจเรียกว่า
การเขียนโครงการวิจัย
ขั้นที่ 5
การกำหนดการวัดค่าตัวแปร การกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ผู้วิจัยจะต้องสามารถออกแบบการวัด เพื่อวัดค่าตัวแปร
และควบคุมตัวแปรได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนจะต้องสามารถออกแบบการใช้สถิติ
เพื่อเลือกใช้สถิติ และวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างได้อย่างถูกต้อง
รวมทั้งผู้วิจัยต้องกำหนดประชากรเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนทำการวางแผนสุ่มตัวอย่างเพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของประชากร
เป็นขั้นตอนที่ต้องมีความรัดกุมเนื่องจากกลุ่มตัวอย่างจะถูกนำไปอ้างอิงถึงประชากรทั้งหมดรวมทั้งความถูกต้องย่อมขึ้นอยู่กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนที่ดีของประชากร
ขั้นที่ 6 การสร้างเครื่องมือและเก็บรวบรวมข้อมูล
การสร้างเครื่องมือสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูล
จะต้องศึกษาวิธีการสร้างเครื่องมือ
ธรรมชาติของการวิจัยแต่ละประเภทและโครงสร้างของสิ่งที่วัด
การเขียนข้อความหรือคำถามต่างๆ การให้ผู้เชี่ยวชาญทำการแก้ไข
การทดลองและตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ การปรับปรุงเป็นเครื่องมือฉบับจริง
นอกจากนี้ผู้วิจัยไม่จำเป็นต้องสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูลเสมอไป
ถ้าทราบว่ามีเครื่องมืออยู่แล้วและเหมาะสมที่จะนำไปใช้
อาจนำเครื่องมือดังกล่าวมาใช้ได้ แต่ต้องทำการทดสอบความเชื่อมั่นก่อน
เพราะเครื่องมือที่ใช้อาจล้าสมัยจึงจำเป็นต้องตรวจสอบอีกครั้ง
เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้วิธีการหรือเทคนิคต่างๆ
ที่กำหนดไว้ในแบบของการวิจัยซึ่งอาจเป็นแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต กรณีเป็นการวิจัยเชิงทดลอง
จะทำการทดลองสังเกตและวัดผลด้วย
ขั้นที่ 7 การวิเคราะห์ข้อมูล คือ การนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้มาจัดกระทำเป็นการตรวจสอบความถูกต้อง
บันทึกข้อมูลเข้าตามระบบการวิเคราะห์ด้วยสถิติ การทดสอบสมมุติฐาน
หรือนำมาวิเคราะห์ตามทฤษฎีต่างๆ อาจวิเคราะห์ด้วยมือหรือด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป เช่น
SPSS for windows เป็นต้น
ขั้นที่ 8
การแปลความหมายหรือตีความการวิเคราะห์ข้อมูลจากผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยนำผลที่ได้มาตีความหรือแปลความหมาย
ซึ่งอาจใช้เกณฑ์หรือมาตรฐานคือการตั้งเกณฑ์นำผลการวิเคราะห์ที่ได้ไปเทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้
เช่น การวิจัยเรื่องหนึ่งอาจกำหนดค่าเฉลี่ย () โดยตั้งเกณฑ์ไว้ที่ 4.51-5.00 ดีที่สุด
3.51-4.50 ดี 2.51-3.50 พอใช้ 1.51-2.50 ควรปรับปรุงและต่ำกว่า 1.51
ต้องปรับปรุงอย่างยิ่ง ถ้าวิเคราะห์ข้อมูลได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.42
นำค่าที่ได้ไปเทียบกับเกณฑ์ปรากฏว่าตกอยู่ในช่วง 2.51-3.50 ดังนั้นจึงตีความได้ว่า
พอใช้ เป็นต้น
ขั้นที่ 9 การสรุปผลและเขียนรายงาน การสรุปผล (Conclusion) เป็นการประมวลผลการวิจัยในภาพรวมทั้งหมดโดยสรุปที่แสดงให้เห็นข้อค้นพบพร้อมการอภิปรายผลการเปรียบเทียบกับผลการวิจัยหรือทฤษฎีต่างๆ
เพื่อให้การวิจัยมีน้ำหนักและเชื่อถือได้ และเขียนรายงานการวิจัย
พิมพ์และเผยแพร่ผลงานวิจัย ขั้นนี้เป็นขั้นสุดท้ายของการวิจัย
ผู้วิจัยต้องเขียนรายงานตามรูปแบบของการเขียนรายงานการวิจัยประเภทนั้นๆ
ให้ถูกต้องตามระเบียบแบบแผน เพื่อเสนอให้ผู้อื่นได้ศึกษาต่อไป
ขั้นตอนการวิจัยที่กล่าวมาข้างต้นอาจไม่ครอบคลุมการวิจัยประเภทต่างๆ
ได้ทั้งหมดเป็นเพียงแนวทางหนึ่งเท่านั้น
การวิจัยบางประเภทอาจข้ามขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งทั้งนี้อยู่ที่ลักษณะของการวิจัยประเภทนั้นๆ
บรรณานุกรม
กลุ่มงานฝึกอบรมการวิจัย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.). 2547. ตำราชุดฝึกอบรม
หลักสูตร“นักวิจัย”. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.).
หลักสูตร“นักวิจัย”. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.).
กิตติพันธ์
คงสวัสดิ์เกียรติ, ไกรชิต
สุตะเมือง, เฉลิมพร เย็นเยือก,
และเรวดี อันนันนับ. 2552.
ระเบียบวิธีวิจัยทางธุรกิจ. กรุงเทพฯ: เพียร์สัน เอ็ดดูเคชั่น.
ระเบียบวิธีวิจัยทางธุรกิจ. กรุงเทพฯ: เพียร์สัน เอ็ดดูเคชั่น.
นราศรี
ไววนิชกุล และ ชูศักดิ์
อุดมศรี. 2551. ระเบียบวิธีวิจัยธุรกิจ. พิมพ์ครั้งที่ 18. กรุงเทพฯ:
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. 2547. ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ :
ภาควิชาศึกษาศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
ปัญญา ธีระวิทยเลิศ.
2547. ปฏิบัติการวิจัย.
กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ.
พรทิพย์ อุดมสิน และ บุญศรีพรหมาพันธุ์. 2550. “ความรู้พื้นฐานในการวิจัย.” ใน
เอกสารการสอนชุดวิชาการวิจัยเบื้องต้นทางสารสนเทศศาสตร์. หน่วยที่ 1. พิมพ์ครั้งที่ 4. นนทบุรี: สาขาวิชาศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
พวงรัตน์ ทวีรัตน์.
2543.
วิธีวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่
8. กรุงเทพฯ: สำนักนักงานทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา.
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร.
พิชิต ฤทธ์จรูญ.
2544. การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
: ปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียน. กรุงเทพฯ: สถาบันราชภัฏพระนคร.
เพ็ญแข แสงแก้ว.
2541. การวิจัยทางสังคมศาสตร์. ปทุมธานี:
ภาควิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
มนสิช สิทธิสมบูรณ์.
2547. ระเบียบวิธีวิจัย. พิษณุโลก: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร.
ยุทธพงษ์ ไกรวรรณ์.
2545. พื้นฐานการวิจัย ฉบับปรับปรุงใหม่. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ:
สุวีริยาสาส์น.
ลัดดาวัลย์ เพชรโรจน์ และ อัจฉรา ชำนิประศาสตร์. 2547. ระเบียบวิธีการวิจัย. กรุงเทพฯ: พิมพ์ดีการพิมพ์.
วัชราภรณ์ สุริยาภิวัฒน์. 2546. วิจัยธุรกิจยุคใหม่. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สิน พันธุ์พินิจ.
2547.
เทคนิคการวิจัยทางสังคมศาสตร์. กรุงเทพฯ: วิทยพัฒน์.
สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์. 2546. ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพฯ : สามลดา.
สุรางค์
จันทวานิช. 2543. วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุวิมล ติรกานันท์. 2548. ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์
: แนวทางสู่การปฏิบัติ. พิมพ์ครั้งที่
5. กรุงเทพฯ: จุลาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อรุณี อ่อนสวัสดิ์.
2551. ระเบียบวิธีวิจัย. พิษณุโลก: ภาควิชาการศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร.
Babbie, Earl R. 1986. The
Practice of Social Research. 4th
ed. Belmont: Wadsworth.
Besic Business Research.
2011. [Online] : Search on November 29, 2011. Available form
: http://managementhelp.org/businessresearch/index.php.
: http://managementhelp.org/businessresearch/index.php.
Greener, S. 2008. Business Research Method. London: London Business School.
[Online] : Search on November 29, 2011. Available form :
http://bookboon.com/en/textbooks/marketing-media/introduction-to-research-
methods.
[Online] : Search on November 29, 2011. Available form :
http://bookboon.com/en/textbooks/marketing-media/introduction-to-research-
methods.
Wimmer, Roger. D. and Dominick, Joseph R. 1987.
Mass Media Research an
Introduction. 2nd ed. Belmont: Wadsworth Publishing.
Introduction. 2nd ed. Belmont: Wadsworth Publishing.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น